วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning log 3 ในห้องเรียน


Learning Log 3
ในห้องเรียน
                   การเรียนรู้ในห้องเรียนครั้งนี้ดิฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ประเด็นที่สำคัญในการเรียนภาษอังกฤษ นั่นก็คือ เรื่อง tense เนื่องจากในปัจจุบันภาษาอังกฤษนับได้ว่าเป็นภาษาที่มีความสำคัญมาก ภาษาหนึ่งและเป็นภาษาหลักที่หลายประเทศใช้ในการติดต่อสื่อสาร สิ่งสำคัญพื้นฐานของภาษาอังกฤษ นอกจากจะมีคำศัพท์ที่จะต้องจดจำแล้ว ยังมีเรื่องของ tense ซึ่งเป็นไวยากรณ์พื้นฐานของภาษาอังกฤษ หากสามารถรู้และเข้าใจถึงโครงสร้างของ tense ก็จะทำให้สะดวกในการพูด การอ่าน และการเขียน ภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น ซึ่ง tense นั้นคือ รูปแบบ โครงสร้าง ของกริยาที่แสดงให้เราทราบว่าการกระทำหรือเหตุการณ์นั้นๆ เกิดขึ้นเมื่อไร tense เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าใช้ tense ไม่ถูกต้องเราก็จะสื่อภาษากันไม่ได้ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้น จะอยู่ในรูปของ tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาไทยที่จะมีข้อความบอกว่าเกิดขึ้นเมื่อไร มาช่วยเสมอ แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense มาเป็นตัวบอก ดังนั้นการศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง tense ในภาษาอังกฤษจะแบ่งออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆ คือ Present Tense ปัจจุบัน , Past Tense อดีตกาล , Future Tense อนาคตกาล ซึ่งในแต่ละ tense ยังแยกย่อยได้ tense ละ 4 แบบ คือ Simple tense , Continuous tense , Perfect tense และ Perfect continuous tense  
                                                    
                        สำหรับ tense แรก คือ Present Tense ปัจจุบัน สามารถแยกย่อยได้ 4 tense คือ
              1. Present Simple Tense (ปัจจุบันง่ายๆ หรือปัจจุบันธรรมดา) มีโครงสร้างคือ S+V.1 ส่วนหลักการใช้ก็คือ ใช้กับเห๖การณ์หรือการกระทำที่เป็นความจริงตลลอดไปหรือเป็นความจริงตามธรรมชาติ เช่น The sun rises in the east. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นประเพณี นิสัย สุภาษิต ซึ่งไม่ได้เจาะจงว่าเป็นเวลาใด เช่น Men wear thin clothes in summer. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงขณะที่พูด เช่น Susan is my close friend. ใช้กับเหตุการณ์ที่บุคคลหรือสัตว์ทำเป็นประจำหรือนิสัยเคยชิน เช่น always ,usually ,often เป็นต้น และถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาต้องเติม s หรือ es ส่วนประธานที่เป็นพหุพจน์รวมทั้ง I และ you กริยาไม่ต้องเติมให้รูปคงเดิม
 2. Present Continuous Tense (ปัจจุบันกำลังกระทำหรือกำลังดำเนินอยู่) มีโครงสร้างคือ
s+is/am/are+v.ing มีหลักการใช้ดังนี้ ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ขณะที่พูดหรือต่อเนื่องไปเรื่อยๆและจบในอนาคต โดยอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ อาจใช้ Adverb of time เช่น now, right now เป็นต้น เพื่อดึงดูดเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น I am meeting my boss this evening. ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ผู้พูดมั่นใจว่ากำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เช่น He is going to China tonight. กริยาบางตัวไม่สามารถใช้ในรูปแบบของ Present Continuous Tense ได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นกำลังจะเกิดขึ้นหรือกำลังดำเนินอยู่ก็ตาม โดยมักใช้ในรูปแบบของ Present Simple Tense กับคำกริยากลุ่มคำนี้แทน เช่น see, know, like, possess เป็นต้น
         3. Present Perfect Tense (ปัจจุบันสมบูรณ์) มีโครงสร้างคือ s+have/has+v.3 ซึ่งจะมีหลักการใช้ดังนี้ ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตดำเนินมาจนถึงปัจจุบันและจะต่อเนื่องไปถึงอนาคตและจะมีคำบุพบทสองคำประกอบอยู่ด้วย คือ for และ since เช่น I have see her , she has just gone. ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่ระบุเวลาว่าเกิดขึ้นเมื่อไรบอกแต่ว่า ทำแล้วหรือไม่เคยทำแค่นั้นเอง เช่น I have read that book , she has got your letter.
         4. Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันสมบูรณ์กำลังกระทำ) โครงสร้างคือ S +  has, have  +  been  +  V.ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก) หลักการใช้คือ ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีตและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เช่น He has been living in Bangkok for 12 years. . ใช้กับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอีกเหตุการณ์หนึ่งโดยใช้ since เป็นตัวเชื่อมประโยคและประโยคตามหลัง since มักจะเป็น past simple tense เสมอ
                     และ Tense ต่อมาคือ  Past tense อดีตธรรมดา จะแยกได้เป็น 4 Tense ย่อย   คือ
          1. Past Simple Tense (อดีตธรรมดา) โครงสร้างคือ S  +  Verb 2.. (บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต) มีหลักการใช้ดังนี้ ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและสิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งมักจะมีคำวิเศษณ์มาบอกเวลาอยู่ในประโยค เช่น yesterday, last night เป็นต้น เช่น I call her yesterday. ใช้ใช้แสดงถึงการกระทำที่เป็นนิสัยหรือเกิดขึ้นเป็นประจำในอดีต ซึ่งสิ้นสุดลงแล้ว เช่น I cooked every night last week.
            2. Past Continuous Tense (อดีตกำลังกระทำหรือกำลังดำเนินอยู่)โครงสร้างคือ S  +  was, were  +  Verb 1  + (บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต) มีหลักการใช้ดังนี้ ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตในช่วงเวลาที่บอกไว้อย่างชัดเจน เช่น I  was  taking  a  shower  at  eight  o’clock  last  night. ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้อนกันในอดีตโดยเหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นและดำเนินอยู่ให้ใช้  Past Continuous Tense มีเหตุการณ์สั้นๆได้เข้ามาแทรกจะใช้  Past Simple Tense  เช่น I  met  your  boyfriend  in  the park  while  I  was  jogging. ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นควบคู่กันไป ณ เวลาเดียวกัน โดยเหตุการณ์ที่สองจะใช้  Past Continuous Tense เช่น I was sleeping while the teacher was teaching. มักจะใช้คำว่า when, while, as เป็นต้น ใน Past Continuous Tense เพื่อเชื่อมเหตุการณ์ต่างๆเข้าด้วยกัน
          3. Past Perfect Tense (อดีตสมบูรณ์) โครงสร้างคือ S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง) มีหลักการใช้ดังนี้ ใช้กับเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในอดีตโดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงก่อนใช้ Past Perfect Tense ส่วนเหตุที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงที่หลังจะใช้ Past Simple Tense  เช่น We had gone out before he come. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ดำเนินมาจนถึง ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลาในอดีต เช่น I had finished my homework by 8:00 p.m. last night.
          4. Past Perfect Continuous Tense (อดีตสมบูรณ์กำลังกระทำ) โครงสร้างคือ S  +  had  +  been  +  v.ing   + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด) มีหลักการใช้ดังนี้ ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งในอดีตโดยอาจใช้คำว่า since และ for เช่น She had been shouting for help since she fell down the stairs. ใช้พูดถึงการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาในอดีตและสิ้นสุดลงแล้ว เช่น I had been smoking for 5 months. Tense นี้จะเป็นความต่อเนื่องของการกระทำมากกว่า Past Perfect Tense
                    สำหรับ Tense สุดท้ายคือ Future Tense อนาคตธรรมดา สามารถแยกได้เป็น 4 Tense ย่อยเช่นกันคือ  1. Future Simple Tense อนาคตธรรมดาหรืออนาคตง่ายๆ โครงสร้างคือ S  +  will, shall  +  v. 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต) มีหลักการใช้ดังนี้ ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตโดยมักใช้กับ Adverb of time เช่น tomorrow , next….,soon เป็นต้น ตัวอย่างประโยค I will go to  the hospital tomorrow. ใช้กับประโยคที่ตัดสินใจขณะที่พูดโดยไม่ได้วางแผนก่อน เช่น I think I will buya new mobile phone next week.
           2. Future Continuous Tense (อนาคตกำลังกระทำหรือกำลังดำเนินอยู่) โครงสร้างคือ S + will, shall+be+v.ing….มีหลักการใช้ดังนี้ ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้วดำเนินอยู่ ณ เวลาหนึ่งเวลาใดในประโยค เช่น He will be working at this time tomorrow. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามปกติ ณ ช่วงเวลาหนึ่งในอนาคตหรือเกิดขึ้นโดยอาศัยภาวะภายนอกเช่น He will be staying in town till Saturday.
           3. Future Perfect Tense (อนาคตสมบูรณ์) จะมีโครงสร้างคือ S+will, shall + have + v.3……. ซึ่งจะมีหลักการดังต่อไปนี้ ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่คาดว่าจะสิ้นสุดในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในอนาคต โดยมักใช้กับ by next week, by six o’clock, by the month ตัวอย่างประโยค คือ I will have completed my work by tomorrow. ใช้กับเหตุการณ์ที่คาดเดาว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตโดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะใช้ future perfect tense เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังใช้ present simple tense เช่น The kids will have woken up when we reach home.
           4. Future Perfect Continuous Tense (อนาคตสมบูรณ์กำลังกระทำ) จะมีโครงสร้างคือ S+will, shall+have+been+v.ing….. จะมีหลักการใช้ดังนี้ จะมีวิธีการใช้เหมือนกับ future perfect tense ต่างกันเพียงตรงที่ future perfect continuous นั้น เน้นการกระทำหรือเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งและยังคงดำเนินต่อไปอีกในอนาคต โดยมักใช้กับ for+ เพื่อแสดงระยะเวลาของเหตุการณ์หรือการกระทำนั้นๆ เช่น By 2012, we will have been living in Bangkok for 7 years. ใช้กับเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่ต้องการเน้นความต่อเนื่องของการกระทำใดการกระทำหนึ่งในอนาคต

                       เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้สื่อสารได้กับทุกชาติทุกภาษาซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้เพื่อให้ทันต่อกระแสสังคมแห่งโลกาภิวัฒน์ ภาษาอังกฤษนั้นเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพของคนในด้านการสื่อสารและเป็นปัจจัยสำคัญในการเปิดโลกทัศน์กว้างไกล ซึ่งในปัจจุบันภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่คนส่วนใหญ่ใช้สื่อสารกัน สำหรับประเด็นที่ดิฉันได้เรียนรู้ในวันนี้นั้น ก็มีความสำคัญมากเช่นกันในการเรียนภาษาอังกฤษ นั้นก็คือ เรื่อง tense โดย tense ในภาษาอังกฤษจะแบ่งออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆ คือ present tense, past tense และ future tense และยังสามารถแยกย่อยได้อีก tense ละ 4 tense คือ simple tense continuous tense , perfect tense และ perfect continuous tense ซึ่ง tense เหล่านี้หากเราสามารถรู้และเข้าใจถึงโครงสร้างและหลักการใช้ สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องก็จะทำให้เรามีความชำนาญในการพูด การอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น                

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น