วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log 11 นอกห้องเรียน


Learning Log 11
นอกห้องเรียน
                     ในการเรียนภาษาอังกฤษหลายคนมักจะบอกว่าเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลนั้นต้องฟัง พูด อ่าน เขียนได้หรือสื่อสารกับชาวต่างชาติได้แค่นั้นก็พอ แกรมม่าหรืออะไรที่เรียนไปนั้น เพื่อการท่องสอบไม่ต้องไปกังวลไม่จำเป็น สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นก็ไม่ผิดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะใช้ภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพจริงๆ ทุกอย่างมันต้องไปด้วยกัน บางคนสำเนียงดีมากแต่พูดภาษาอังกฤษผิดหมด บางคนเก่งไวยากรณ์มากแต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ในขณะที่บ้างคนใช้ภาษาอังกฤษได้ดีทุกด้าน ดังนั้นการใช้หรือการเรียนภาษาอังกฤษในทักษะต่างๆนั้น มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน  หรือในเรื่องอื่นๆ ได้แก่คำศัพท์ ไวยากรณ์ การอ่านออกเสียง หรือแม้แต่ในเรื่องของวัฒนธรรม เกมส์และปริศนาต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็นวิถีทางหนึ่งที่จะช่วยให้การพัฒนาตนเองของผู้เรียนในการปฏิบัติจริงและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษได้ตามรูปแบบกิจกรรมที่มีอยู่หลากหลายได้ตามความสนใจและในครั้งนี้ดิฉันได้ศึกษาเทคนิคพัฒนาการเรียนภาษาอังกฤษ 3 พาร์ท นั่นก็คือ แกรมม่า คำศัพท์ และบทสนทนา

                      พาร์ทแรก 5 เทคนิคเก่ง Grammar คือ พื้นฐานง่ายๆต้องแม่น ภาษาอังกฤษก็เหมือนภาษาไทยที่จำเป็นต้องเรียนรู้พื้นฐานก่อนเช่น คำนาม คำกริยา เป็นต้น พื้นฐานเหล่านี้ถือว่าจำเป็นสำหรับการเรียนแกรมม่า เพราะต้องใช้ต่อยอดแกรมม่าอื่นๆ กฎเหล็กข้อยกเว้นจำได้ แกรมม่าเป็นเรื่องหลักของภาษาที่ซับซ้อนและมีข้อยกเว้นมากมาย เช่น การเปลี่ยนคำนานเอกพจน์ให้เป็พหุพจน์เติม s , es ถ้าลงท้ายด้วย o ให้เติม es ได้เลยเป็นต้น มีตัวอย่างเสริม หาตัวอย่างประโยคของหลักๆนั้น เป็นโมเดลประโยคท่องจำจะได้ง่ายขึ้น คิดถึงโครงสร้างต่างๆ แล้วท่องประโยคนั้นขึ้นมาก็จะได้รู้ว่าโครงสร้างเป็นอย่างไร เปรียบเสมือนกับเวลาท่องเสียงลือเสียงเล่าอ้าง แบบของโคลงสี่สุภาพในภาษาไทยเป็นต้นอ่านเองไม่ค่อยจะเข้าใจตั้งแต่ในห้องเรียน ถ้ารู้ตัวว่าเรียนรู้อะไรช้ายิ่งเป็นแกรมม่ายากๆ อ่านเองคงไม่เข้าใจก็ควรตั้งใจเรียนตั้งแต่ในห้องเรียนเพราะอาจารย์แต่ละคนจะมีเทคนิคการจำที่ต่างกัน ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น อัพเกรดการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษหัดอ่านหนังสือ เรื่องสั้น นิยาย หนังสือพิมพ์ที่เป็นภาษาอังกฤษหรืออ่านข่าวจากเว็บไซต์ต่างประเทศ สื่อเหล่านั้นมีประโยชน์อย่างมากกับตัวเรา
                      พาร์ทที่สอง 5 เทคนิคเก่ง Vocabulary คือ มองทุกอย่างเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ มองทุกอย่างให้เป็นภาษาอังกฤษเช่น เดินไปตลาดเจอของตามถนนก็นึกเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ อันไหนไม่ได้ก็จำไว้แล้วมาเปิดดิกชั่นนารีที่บ้าน หาคำควบคู่หรือคำตรงข้ามไว้ด้วยเช่น รู้คำศัพท์คำหนึ่งแล้วให้หาคำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกันและตรงข้ามกันมากองเป็นกลุ่มคำไว้ เวลาท่องจำทีนึงจะได้พร้อมๆกันทีเดียว Crossword puzzle เกมส์นี้จะวัดความรู้คำศัพท์อย่างแท้จริง ลักษณะเกมส์คือ เป็นตารางคำศัพท์ ถ้าฝึกเกมส์นี้บ่อยๆก็จะได้ฝึกทั้งเรื่องคำศัพท์และแปลความด้วย เตรียมสมุดคำศัพท์ เอาไว้จดคำศัพท์ที่เราไปเจอมาแล้วไม่รู้ความหมาย เพื่อที่ว่ากลับมาบ้านมาก็หาความรู้เพิ่มจดทุกๆวัน สมุดเล่มนี้จะเหมือนคัมภีร์คำศัพท์ ที่คัดมาแล้วว่าเราเจอในชีวิตประจำวันจริงๆฝึกสร้างประโยคจากศัพท์คล้ายกับเทคนิคเก่งแกรมม่า แต่เพิ่มสกิลการเขียนอีกนิดนึง สามารถหาประโยคแกรมม่าจากหนังสือเรียนได้แต่การสร้างประโยคจากศัพท์นั้นแนะนำให้ฝึกแต่งประโยคขึ้นมาเอง
                      พาร์ทสุดท้าย 5 เทคนิคเก่ง Conversation & Speaking คืออย่ากลัวพูดผิดความกลัวทำให้เราไม่กล้าและการที่เราพูดผิดก็ไม่ได้เสียหายมากนัก ฝรั่งหลายคนสามารถเรียนรู้ภาษาทที่สามได้เร็วมากเพราะมีความกล้านั่นเอง หาตัวช่วยฝึกออกเสียงสำเนียงการพูดอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าสำเนียงดีก็จะได้เป็นประโยชน์ต่อการสื่อสาร เราและคู่สนทนาก็ฟังเข้าใจกันมากขึ้นเพราะบางครั้งไม่ใช่แค่สำเนียงที่ฟังยากแต่อาจจะออกเสียงผิดด้วย ดังนั้นต้องหาตัวช่วยเพื่อการออกเสียงที่ดีเช่น ทอล์กิ้งดิกชั่นนารีหรือคุยกับเพื่อนต่างชาติ เป็นต้น อย่านึกเป็นภาษาไทยเพราะการที่เราคิดเป็นภาษาไทยทำให้เรายึดติดกับไวยากรณ์ภาษาไทย ดังนั้นเราควรคิดแบบฝรั่งจะได้พูดภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้น ก่อนพูดต้องฝึกฟังด้วยแม้เราจะพูดได้แต่อย่าลืมให้ความสำคัญกับการฟัง เพราะจะช่วยให้เรารู้จักการพูด การเลือกใช้คำพูดตามสถานการณ์และที่สำคัญถ้าสนทนากับคนอื่น การฟังจะช่วยให้คุยกันถูกเรื่อง ดูหนังที่บ้านแล้วฝึกพูดตาม เหมาะสำหรับคนที่ฝึกการพูดจริงๆ เลือกดูหนัง soundtrack ฟังแบบไม่มีซับแล้วพูดตามเสียงที่ได้ยินตามความต้องการ
                      ในส่วนของการฝึกทักษะนั้น ดิฉันได้ฝึกทั้งหมด 4 ทักษะคือ การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน และในทักษะแรกนั้นคือ ทักษะการฟัง ได้ฝึกเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 15.. 2558 ในการฝึกฟังนั้น ดิฉันได้เลือกฝึกจากการฟังเพลงสากล ชื่อเพลง Colors of the wind ของศิลปิน Vanessa Williams ในเพลงจะแสดงให้เห็นถึงความรักของมนุษย์ สัตว์ป่า เขา ลำธาร ว่ามีความสุขสดชื่นที่แท้จริงมากกว่าการทำร้ายกันและกัน เช่น But if you walk the footsteps of a stranger . You will learn things you never knew you never knew. ได้แปลว่า แต่ถ้าคุณได้เดินตามผู้อื่นที่ต่างไปจากคุณ คุณก็จะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆที่คุณไม่เคยรู้ คุณไม่เคยรู้ และในบทเพลงนี้ดิฉันยังได้เรียนรู้ประโยคคำถามในบทเพลงอีกด้วย เช่น Have you ever heard the wolf cry to the blue corn moon ? คุณเคยได้ยินเสียงหมาป่าคร่ำครวญหาพระจันทร์เต็มดวงหรือไม่? เป็นต้น
                     ทักษะที่สองคือ ทักษะการพูดในการฝึกทักษะการพูดนั้น ดิฉันได้ศึกษาคำย่อในการพูดภาษาอังกฤษ เมื่อเราพูดกับชาวต่างชาติเราก็จะได้รู้ว่าคำๆนี้ย่อมาจากอะไร เพื่อให้การสื่อสารนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นและยังสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างคำย่อ เช่น GIMME = give me แปลว่าให้แกฉัน ในการศึกษาคำย่อนี้ยังได้เรียนรู้รูปแบบประโยคของคำย่อต่างๆอีกด้วย ทำให้เราเข้าใจและเรียนรู้ได้เร็วขึ้น สามารถนำประโยชน์ไปใช้พูดในสถานการณ์จริงได้เลย เช่น Gimme your money.  Can you gimme a hand? และอีกตัวอย่าง เช่น  KINDA – kind of แปลว่า ค่อนข้างจะ ใช้กับความรู้สึกลักษณะภายนอก ตัวอย่างประโยค เช่น She is kinda cute. Are you kinda mad at me ? เป็นต้น ดิฉันได้ทำการฝึกการพูดในวันศุกร์ ที่ 16.. 2558
                      ทักษะต่อมาคือ ทักษะการอ่าน วันที่ฝึกคือ วันเสาร์ ที่ 17.. 2558 ในการฝึกทักษะทักษะการอ่านครั้งนี้ดิฉันเลือกฝึกโยการอ่านนิทาน เนื่องจากในนิทานมีคำศัพท์ที่ง่าย เมื่อดิฉันอ่านแล้วก็ทำให้ดิฉันเข้าใจได้ง่ายขึ้นและรู้สึกเพลิดเพลินกับการอ่าน ดิฉันได้อ่านเรื่อง The Treasure in the Field เป็นเรื่องเกี่ยวกับความพยายามในการทำสิ่งหนึ่งและเมื่อเราพยายามและตั้งใจทำผลที่ออกมานั้นก็จะดีเช่นเดียวกัน ตัวอย่างประโยคเช่น The three boys went to the field and dug the ground . They dug all day trying to find the treasure, but did not find anything. ลูกชายทั้งสามของชาวนาจึงพากันไปขุดหาสมบัติในท้องนาตามที่พ่อบอก พวกเขาช่วยกันขุดหาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่ก็ไม่พบสมบัติที่มีค่าอะไรเลย และในการฝึกอ่านครั้งนี้ดิฉันยังได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆอีกด้วย เช่น bury = ฝัง , ripe = สุกงอม เป็นต้น
                     และทักษะสุดท้ายคือ ทักษะการเขียน ได้ฝึกเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 18.. 2558 ในทักษะการเขียนดิฉันได้ฝึกเขียน resume ภาษาอังกฤษเพิ่มเติม ซึ่งจะมี 5 ส่วนหลักๆคือ ส่วนที่ 1 หัวเรื่องและวัตถุประสงค์ (Heading and Objective) ส่วนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง (Personal Details) ส่วนที่ 3 ข้อมูลด้านการศึกษา (Education) ส่วนที่ 4 ข้อมูลด้านประสบการณ์การทำงาน และทักษะอื่นๆ (Experiences and other skills) ส่วนที่ 5 บุคคลที่สามารถอ้างอิงได้ (References) ในการเขียน resume นี้มีประโยชน์อย่างยิ่งกับนักศึกษาภาษาอังกฤษ เพราะจะได้เขียนได้ถูกต้องตามรูปแบบและเป็นความรู้รอบตัวที่เราจะต้องรู้ควบคู่ไปกับการเรียนของเรา สำหรับการฝึกฝนทักษะในการเขียนนั้นดิฉันได้ฝึกเขียนประโยคจากการฟังเพลงว่าดิฉันสามารถฟังแล้วเขียนออกมาได้มาแค่ไหน เพลงที่ดิฉันได้ฝึกเขียนจากการฟังคือ Part time Vacation time ตัวอย่างประโยคคือ Get out of the city life, get out of your place . เป็นต้น

                     จากการเรียนรู้นอกห้องเรียนครั้งนี้ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคการพัฒนาการเรียนภาษาอังกฤษใน 3 พาร์ท คือ เทคนิคเก่งแกรมม่า เทคนิคเก่งคำศัพท์ และเทคนิคเก่ง การสนทนาและการพูด ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการฝึกภาษาอังกฤษซึ่งเราสามารถเลือกฝึกได้ตามความสนใจของเรา และในส่วนของการฝึกทักษะของดิฉันนั้น ดิฉันได้ฝึก 4 ทักษะคือ ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ซึ่งในการเรียนหรือการใช้ภาษาอังกฤษนั้น ทักษะทั้ง 4 เหล่านี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ควบคู่ไปด้วยกัน เพื่อเกิดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถต่อยอดการเรียนรู้ให้พัฒนาขึ้นไปได้เรื่อยๆ และที่สำคัญจะต้องฝึกฝนอยู่ตลอดโดยสามารถนำไปใช้กับสถานการณ์จริงได้เป็นอย่างดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น